Logo Piases
จด VAT 1.8 ล้าน ทำไมตัวเลขนี้ถึงเป็นปัญหานักหนา 🤔

จด VAT 1.8 ล้าน ทำไมตัวเลขนี้ถึงเป็นปัญหานักหนา 🤔

April 10, 2025
7 min read
Table of Contents

บทความนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจพื้นฐานของการจด VAT หรือ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของกิจการ ว่าคืออะไร ใครต้องจด VAT และจะมีอะไรตามมาบ้างหลังจากที่ผู้ประกอบการคนหนึ่งตัดสินใจจด VAT ตลอดจนประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการจด VAT ว่าทำไมการที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องจด VAT เมื่อรายได้ 1.8 ล้านบาทถึงเป็นปัญหา

เกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ตามกฎหมายในบทความนี้เป็นสรุปสั้น ๆ อย่านำไปใช้อ้างอิง เพราะตัวเลขและเกณฑ์บางอย่างอาจเปลี่ยนไปตามเวลา (ซึ่งเราอาจกลับมาแก้ไม่ทัน เพราะไม่ได้รู้สึกว่าต้องรีบกลับมาแก้) และขออนุญาตไม่ใส่ลิงก์ของกรมสรรพากรเอาไว้ เพราะทางนั้นขยันเปลี่ยนลิงก์เสียเหลือเกิน เราจึงเลือกที่จะอัปโหลดไฟล์ PDF จากกรมสรรพากรของสิ่งที่เรากล่าวถึงเอาไว้ใน GitHub และลิงก์ไปที่ GitHub แทน

ดังนั้นแล้ว หากมีข้อสงสัยและ/หรือต้องการความเป็นปัจจุบัน เราแนะนำให้ลองนำ Keyword ที่เกี่ยวข้องไปค้นหาและเลือกอ่านของเว็บไซต์กรมสรรพากรอย่างใจเย็น เพราะบางครั้งไม่ได้อยู่ในหน้าแรก หรือเป็นบทความที่ไม่ระบุกฎหมายอ้างอิง

VAT คืออะไร?

VAT ย่อมาจาก Value-Added Tax ในภาษาไทยเรียกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือบริการในแต่ละขั้นตอนการผลิตและการขายสินค้าหรือบริการ ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศและจากการนำเข้า

ปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ของประเทศไทย คือ 10% ของมูลค่าของสินค้าหรือบริการ ซึ่งเราเป็นประเทศที่ใช้ VAT แบบอัตราเดียว (บางประเทศสินค้าบางประเภทอาจมีอัตรา VAT ต่างกัน) แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน VAT ถูกกดเอาไว้เหลือ 7% ด้วยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จะออกมาแบบปีต่อปี จึงทำให้หลายคนเข้าใจว่า VAT 7% ตั้งแต่แรกมาตลอด

ทั้งนี้ สินค้าและบริการบางประเภทอาจได้รับการยกเว้น VAT ซึ่งจะถูกระบุเอาไว้ใน ประมวลรัษฎากร มาตรา 81

ใครจ่าย VAT

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT นั้นจัดว่าเป็น ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) ที่สามารถผลักภาระในการจ่ายให้ผู้อื่นได้ หมายความว่าผู้ขายซึ่งเป็นผู้ที่มีรายได้จากการขายของชิ้นนั้นจะสามารถผลักภาระในการจ่ายภาษีในกลุ่มภาษีทางอ้อมอย่าง VAT ไปให้ผู้ซื้อจ่ายได้ ด้วยการรวม VAT เข้าไปในราคา

ดังนั้นแล้ว คำตอบของคำถามว่าใครจ่าย VAT จึงเป็นผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ที่ซื้อสินค้าและบริการไปใช้ (ไม่ได้นำไปผลิตต่อ) และไม่สามารถขอคืน VAT ได้ ซึ่ง VAT ที่เราจ่ายไปจะถูกรวมอยู่ในราคาที่เราได้จ่ายให้ผู้ขาย

มาถึงตรงนี้ คุณน่าจะสังเกตเห็นแล้วว่า ตอนนี้ VAT ที่คุณจ่ายไปอยู่ที่ผู้ขาย ยังไม่ถึงมือกรมสรรพากร

ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงได้กำหนดให้ผู้ขายทำสิ่งที่เรียกว่า “การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” หรือที่เราจะเรียกสั้น ๆ ว่า “การจด VAT หรือ จด VAT” ซึ่งทำให้ผู้ขายมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (หลังจากนี้เราจะเรียกว่า นำส่ง VAT) ที่เก็บมาได้จากผู้ซื้อให้กับกรมสรรพากร

… และตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของสาระสำคัญของบทความนี้

ใครต้องจด VAT?

ผู้ที่ต้องจด VAT หรือ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร (ผู้ที่ไม่ได้รับการยกเว้น) แต่ผู้ประกอบการบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นก็มีสิทธิขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ถ้าต้องการ
สำหรับผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย (ข้อ 1. ถึง 7. จะจดก็ได้ถ้าต้องการ) ได้แก่

  1. การขายสินค้าหรือให้บริการของผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
  2. การขายพืชผลทางการเกษตรภายในราชอาณาจักร เช่น ข้าว ผักและผลไม้ เป็นต้น
  3. การขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตภายในราชอาณาจักร เช่น ไก่หรือเนื้อสัตว์
  4. การขายปุ๋ย
  5. การขายปลาป่น อาหารสัตว์
  6. การขายยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ เพื่อบำรุงรักษาป้องกัน ทำลาย หรือ กำจัดศัตรูหรือโรคของพืชและสัตว์
  7. การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
  8. การนำเข้าสินค้าตาม 2. ถึง 7.
  9. การให้บริการการศึกษาของสถานศึกษาของทางราชการ สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
  10. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ แต่หากเป็นการให้บริการขนส่งโดยอากาศยาน และการให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อ ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มได้
  11. การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศทางบกและทางเรือซึ่งมิใช่เรือเดินทะเล
  12. การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลทางราชการและเอกชน
  13. การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์
  14. การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
  15. การให้บริการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ
  16. การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ
  17. การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์
  18. การให้บริการที่เป็นงานทางศิลปะและวัฒนธรรม ในสาขาและลักษณะการประกอบกิจการที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี
  19. การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน
  20. การขายสินค้าหรือการให้บริการของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งส่งรายรับทั้งสิ้นให้แก่รัฐโดยไม่หักรายจ่าย
  21. การให้บริการวิจัย หรือการให้บริการทางวิชาการ ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการตามที่กรมสรรพากรกำหนด คือ ต้องเป็นการวิจัยหรือบริการทางวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์และสาขาสังคมศาสตร์ แต่ต้องมิใช่เป็นการกระทำในทางธุรกิจ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องเป็นบุคคลธรรมดาหรือเป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หรือมูลนิธิ
  22. การให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ไม่รวมถึงบริการที่เป็นการพาณิชย์ของราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นการหารายได้ หรือผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นกิจการสาธารณูปโภคหรือไม่ก็ตาม
  23. การขายสินค้าหรือการให้บริการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา หรือการสาธารณกุศลภายในประเทศ ซึ่งไม่นำผลกำไรไปจ่ายในทางอื่น
  24. การบริจาคสินค้าให้แก่สถานพยาบาล และสถานศึกษาของทางราชการ หรือให้แก่ องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือสถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
  25. การขายบุหรี่ซิกาแรต ที่ผลิตโดยโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ซึ่งผู้ขายเป็นบุคคลอื่นที่มิใช่โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง
  26. การขายสลากกินแบ่งของรัฐฯ สลากออมสินของรัฐฯ และสลากบำรุงสภา-กาชาดไทย
  27. การขายแสตมป์ไปรษณีย์ แสตมป์อากร แสตมป์อื่นของรัฐฯ องค์การของรัฐฯ หรือ องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เฉพาะที่ยังไม่ได้ใช้ในราคาที่ไม่เกินมูลค่าที่ตราไว้
  28. การให้บริการสีข้าว

ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่

  1. ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี (ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน)
  2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งมีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ได้มีการดำเนินการ และเตรียมการประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
  3. ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักร และได้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระ โดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน

โดยสาระสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ข้อ 1. ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี

ด้วยข้อนี้เพียงข้อเดียวก็สามารถที่จะครอบคลุมได้เกือบทุกอย่าง ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งผู้ประกอบการจริงจังและพนักงานประจำที่มีอาชีพเสริม ทั้งธุรกิจที่มั่นคงและธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ ว่าจะต้องจด VAT แทบทั้งสิ้น

จด VAT แล้วมันทำไม

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาเมื่อคุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ จด VAT แล้วนั่นคือภาระหน้าที่อันใหญ่ยิ่งต่อไปนี้

1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อ
2. ออกใบกำกับภาษี ถ้าเป็นผู้มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษี
3. จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
4. ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม

จริงอยู่ที่ในทางกฎหมายระบุเอาไว้แค่ 4 ข้อใหญ่ กับอีกข้อย่อยนิดหน่อย แต่สิ่งที่คุณต้องทำและต้องพึงระลึกเอาไว้ไม่ใช่ “แค่” เพราะ 4 ข้อนี้เทียบได้กับยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำให้เห็น แต่ในทางปฏิบัติมีเรื่องจุกจิกตามมาอีกมากกว่า 10 เรื่องที่คุณต้องจัดการ

หลังจากนี้เราจะอธิบายทีละประเด็น โดยบางประเด็นเราจะใส่เลขเอาไว้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ทางตรงกับทั้ง 4 ข้อด้านบน

งั้นมาเริ่มกันว่า … จด VAT แล้วมันทำไม

อันดับแรกก็ต้องไปจด VAT (ไง)

แน่นอนว่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ การจด VAT นั้นไม่ได้สะดวกรวดเร็วเหมือนกับการลงทะเบียน Gmail และซับซ้อนตั้งแต่เอกสารที่ใช้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อคุณเตรียมเอกสารแล้ว ก็จัดการจด VAT ให้เรียบร้อยตามช่องทางที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งเราไม่รู้จะสอน How to ขั้นนี้ไปเพื่ออะไร ดังนั้นเราจะข้ามขั้นตอนนี้ไป

แม้ว่าจะเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือส่วนที่ตรงไปตรงมาที่สุดของความวุ่นวายทั้งหมดนี้เช่นกัน

เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อ (1.)

เมื่อคุณเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว หน้าที่แรกของผู้ที่จด VAT ก็คือ “เก็บ VAT จากผู้ซื้อ” ด้วยการเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการเข้าไปอีก 7% ในส่วนของ VAT

ถ้าราคาสินค้าคือ 100 บาท เมื่อจด VAT แล้วคุณจะต้องขาย 107 บาท เพื่อให้ทุกอย่างยังคงเดิม

คงเดิมก็แย่แล้ว … การที่คุณขึ้นราคาเป็น 107 บาท สิ่งที่ยังคงเดิมมีเพียงกำไรต่อหน่วยของคุณในสมการเท่านั้น ในทางปฏิบัติยิ่งราคาสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้นระดับความต้องการสินค้านั้นก็จะลดลงตาม และหันไปใช้สินค้าแบบเดียวกันที่ราคาถูกกว่าเป็นการทดแทน และจะยิ่งรุนแรงกับสินค้าประเภทที่มีความใกล้เคียงกันมาก ซึ่งถูกอธิบายเอาไว้ในแนวคิดของ Price Elasticity of Demand (ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา) ดังนั้นเราจะไม่อธิบายแบบลงรายละเอียด

เพราะกิจการอื่นที่ไม่จด VAT ไม่ว่าจะด้วยการที่เป็นรายย่อยรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ หรือการที่เลี่ยงภาษีทั้งที่เป็นรายใหญ่รายได้ถึงแน่ ๆ จะยังคงสามารถขายด้วยราคา 100 บาทเท่าเดิม เพื่อให้ได้กำไรเท่ากัน ซึ่งในกรณีนี้เรามักจะเห็นกันบ่อย ๆ กับกรณีของร้านอาหาร และสินค้าและบริการที่ขายแข่งกันในช่องทางออนไลน์

ประเด็นนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงมักจะเป็นผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีกำไรต่อหน่วยต่ำ เน้นขายในปริมาณมากที่อ่อนไหวอย่างมากกับการปรับราคาเพียงแค่เล็กน้อย

และด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย จึงไม่ต้องจด VAT เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องจัดการนำ VAT ส่งให้สรรพากรนั่นเอง

ออกใบกำกับภาษี (2.)

ใบกำกับภาษี คือ เอกสารหลักฐานสำคัญที่ผู้ประกอบการจด VAT มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีพร้อมส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อทันทีที่มีการส่งมอบสินค้า หรือทันทีที่ได้รับชำระราคาค่าบริการ เพื่อแสดงราคากับจำนวน VAT ที่เก็บจากผู้ซื้อแต่ละครั้ง โดยจะต้องจัดทำใบกำกับภาษีอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ ต้นฉบับที่ส่งให้ผู้ซื้อ และสำเนาที่ผู้ประกอบการต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานประกอบการลงรายงานภาษี ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ทำรายงาน

เว้นแต่ว่าจะได้รับการยกเว้นว่าไม่ต้องออกใบกำกับภาษี

ซึ่งเงื่อนไขโดยทั่วไปที่จะทำให้ได้รับการยกเว้นการออกใบกำกับภาษี คือ การขายสินค้าหรือให้บริการรายย่อย (ครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท) โดยกิจการต่อไปนี้

  1. ผู้ที่จด VAT ไม่เคยมีมูลค่าของฐานภาษีเดือนใดถึง 300,000 บาท
  2. สถานประกอบการเป็นรถเข็น หรือแผงลอย
  3. การให้บริการการแสดง การเล่น การกีฬา การแข่งขัน

แต่ถ้าหากลูกค้าเรียกร้องใบกำกับภาษี ผู้ประกอบการอย่างคุณก็ยังคงมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีอยู่ดี 😅

และถ้าคุณมีคู่ค้าเป็นผู้ที่จด VAT โดยเฉพาะนิติบุคคล ยังไงเขาก็ขอคุณ

เมื่อต้องออกใบกำกับภาษี มีเงื่อนไขที่คุณจะต้องปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของการจัดทำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (มาตรา 86/4) และใบกำกับภาษีอย่างย่อ (มาตรา 86/6)

และนอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่เทียบเท่าใบกำกับภาษีอยู่อีกด้วย ได้แก่ ใบเพิ่มหนี้ (มาตรา 86/9), ใบลดหนี้ (มาตรา 86/10), ใบเสร็จรับเงินที่ส่วนราชการออกให้ในการขายทอดตลาด (มาตรา 83/5), และใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากร กรมศุลกากร หรือกรมสรรพสามิต เฉพาะส่วนที่เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (มาตรา 86/14) แน่นอนว่าเอกสารเหล่านี้ก็จะมีรูปแบบเฉพาะซึ่งสามารถไปอ่านได้จากประมวลรัษฎากรตามมาตราที่วงเล็บไว้

ใบกำกับภาษีอย่างย่อ (2.)

ใบกำกับภาษีอย่างย่อ คือ ใบกำกับภาษีประเภทที่สามารถออกได้ เมื่อเป็นผู้จด VAT ที่ขายปลีกหรือให้บริการในลักษณะบริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก (ที่ออกใบกำกับภาษีฉบับเต็มได้ยากด้วยสาเหตุที่น่าจะพอเดากันออก) แต่ก็มีเงื่อนไขประกอบด้วย ดังนี้

  1. เป็นการขายสินค้าที่ผู้ขายทราบโดยชัดแจ้งว่าเป็นการขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง และได้ขายในปริมาณซึ่งตามปกติวิสัยของผู้บริโภคนั้นจะนำสินค้าไปใช้บริโภค หรือใช้สอยโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะน าไปขายต่อไป เช่น การขายสินค้าของกิจการแผงลอย กิจการขายของชำ กิจการขายยา กิจการจำหน่ายน้ำมัน และกิจการห้างสรรพสินค้า ทั้งนี้ เฉพาะในการขายสินค้าที่เป็นไปตามลักษณะและ/หรือเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น
  2. การให้บริการในลักษณะบริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก เช่น การให้บริการของกิจการภัตตาคาร กิจการโรงแรม กิจการซ่อมแซมทุกชนิด กิจการโรงภาพยนตร์ และกิจการสถานบริการน้ำมัน เป็นต้น

โดยที่กิจการภัตตาคาร ได้แก่ กิจการขายอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าชนิดใด ๆ รวมทั้งกิจการรับจ้างปรุงอาหารหรือเครื่องดื่ม ทั้งนี้ ไม่ว่าในหรือนอกสถานที่ซึ่งจัดไว้ให้ประชาชนเข้าไปบริโภคได้

ผู้ประกอบการตาม 1. และ 2. ต้องจัดทำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป พร้อมทั้งสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการทุกครั้งที่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเรียกร้อง พร้อมทั้งส่งมอบใบกำกับภาษีดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ

การเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อนั้น หากเข้าลักษณะเป็นกิจการค้าปลีกแล้ว มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อได้เลยโดยไม่ต้องขออนุมัติต่ออธิบดีกรมสรรพากร

ใช่แล้ว เราจงใจไม่สรุปดูสักหัวข้อหนึ่ง เพราะการอ่านอะไรในลักษณะนี้ (และมากกว่านี้) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว หากคุณไม่จ้างนักบัญชีมาจัดการให้

และแน่นอนว่ารายการในใบกำกับภาษีอย่างย่อก็จะต้องเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด (ขอละไว้)

แต่ก็พอจะมีทางลัดอยู่ ซึ่งก็คือการใช้เครื่องบันทึกการเก็บเงินเพื่อออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ (และแน่นอนอีกว่า ต้องเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด)

ขอใบกำกับภาษี (2.)

นอกจากการออกใบกำกับภาษีแล้ว หากผู้ที่จด VAT ซื้อสินค้าหรือบริการ ก็จะต้องเรียกใบกำกับภาษีจากผู้ประกอบการที่จด VAT ที่ขายให้ด้วย เพื่อนำใบกำกับภาษีมาใช้เป็นหลักฐานคำนวณ VAT และเมื่อคำนวณออกมาแล้วพบว่า VAT ซื้อมากกว่า VAT ขาย ผู้ที่จด VAT จะได้เครดิตภาษีที่สามารถนำไปจ่าย VAT เดือนภาษีต่อ ๆ ไปจากเดือนภาษีที่คำนวณได้ หรือถ้าไม่ใช้คุณอาจจะขอคืนได้ภายใน 3 ปีถ้าต้องการ (แต่ก็ลองดู)

จัดการใบกำกับภาษีที่ข้อมูลผิด (2.)

ในกรณีนี้จะต้องยกเลิกใบกำกับภาษีเก่า เพื่อออกฉบับใหม่ โดยต้องนำใบที่ผิดมาประทับตรา “ยกเลิก” หรือขีดฆ่าแล้วเก็บไว้กับสำเนาใบกำกับภาษีฉบับเดิม

และทำใบใหม่ที่ระบุข้อมูลตามเงื่อนไขการยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิม เพื่อออกฉบับใหม่ด้วยเลขที่ใหม่ แต่ลงวันเดิม และหมายเหตุในฉบับใหม่ว่า “เป็นการยกเลิกและออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่แทนฉบับเดิมเลขที่… เล่มที่….” และหมายเหตุการยกเลิกไว้ในรายงานภาษีขายของเดือนภาษีที่จัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ด้วย

การออกใบแทนใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ (2.)

ถ้าหากคุณได้รับคำร้องขอจากผู้ซื้อที่ทำใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้สูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นออกใบแทนใบกำกับภาษี ใบแทนใบเพิ่มหนี้ หรือใบแทน ใบลดหนี้ให้กับผู้ซื้อ

โดยการถ่ายสำเนา และให้บันทึกรายการลงในภาพถ่าย ดังนี้ (1) ใบแทนออกให้ครั้งที่ (2) วัน เดือน ปี ที่ออกใบแทน (3) คำอธิบายย่อ ๆ ถึงสาเหตุที่ออกใบแทน และ (4) ลงลายมือชื่อของผู้ออกใบแทน

และให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งออกใบแทนตาม 1. บันทึกรายการตาม (1) - (4) ไว้ด้านหลังสำเนาใบกำกับภาษี สำเนาใบเพิ่มหนี้ หรือสำเนาใบลดหนี้ด้วย พร้อมบันทึกรายการการออกใบแทน ในรายงานภาษีขายในเดือนที่มีการออกใบแทน โดยระบุชื่อผู้ซื้อ เลขที่/เล่มที่ วันที่ของใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ ที่ได้มีการออกใบแทน

การเก็บรักษาใบกำกับภาษี (2.)

ใบกำกับภาษี สำเนาใบกำกับภาษี ให้เก็บไว้ ณ สถานประกอบการที่จัดทำใบกำกับภาษี หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้จัดทำใบกำกับภาษี

และในกรณีที่ผู้ที่จด VAT เลิกประกอบกิจการ จะยังคงต้องเก็บรักษาใบกำกับภาษีที่มีหน้าที่ต้องเก็บรักษาอยู่ในช่วงระยะเวลาที่เลิกประกอบกิจการต่อไปอีก 2 ปี

รายงานภาษีซื้อ และ รายงานภาษีขาย (3.)

หลังจากเราติดอยู่กับใบกำกับภาษีมากันจนเอียนกันไปแล้ว 🤢 เราขอแนะนำ รายงานภาษีซื้อ และ รายงานภาษีขาย

เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องจัดทำรายงานพิเศษเพื่อควบคุมการจัดเก็บ และสอบยันกับแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่ยื่นเสียภาษีภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นหลักฐานแสดง รายละเอียดประกอบแบบแสดงรายการภาษีและต้องจัดทำเป็นรายสถานประกอบการ ประกอบด้วย รายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ ที่ทั้งหมดใช้ใบกำกับภาษีเป็นเอกสารหลักฐาน

และเช่นเคย รูปแบบรายงานเหล่านี้จะต้องเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

ซึ่งภาษีซื้อ (VAT ซื้อ) และภาษีขาย (VAT ขาย) จะถูกนำมาหักลบกลบกันว่า ในแต่ละเดือนภาษีคุณต้องชำระภาษีเพิ่ม หรือขอคืนภาษี

เมื่อกล่าวถึงการจัดทำบัญชีแล้ว ธุรกิจไม่ว่ารูปแบบใด ๆ หากได้เริ่มต้นประกอบธุรกิจแล้ว กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ที่บัญญัติให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายไทย นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการ ร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องจัดทำบัญชีให้ครบถ้วนถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี และตามประกาศ กรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี ระยะเวลา ที่ต้องลงรายการในบัญชีและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชี และให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชียกเว้น บุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มีได้จดทะเบียน จัดทำงบการเงินให้ถูกต้องตามรายการย่อที่กฎหมาย กำหนด และต้องได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเว้นแต่งบการเงินของ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่มีทุนไม่เกินห้าล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกินสามสิบล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน สามสิบล้านบาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็น โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และต้องนำส่งงบการเงินให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนงบการเงินที่นำส่งกรมสรรพากรยังต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor)

แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจต่าง ๆ ตามที่กล่าวถึงข้างต้นนอกจากมีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 แล้ว เพื่อประโยชน์ในการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร จึงกำหนดให้ผู้ประกอบการไม่ว่าจะประกอบการในรูปนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาต้องจัดทำบัญชี รายงาน รวมทั้งบัญชีพิเศษ และการแจ้งข้อความเพิ่มเติมตามประเภทให้เป็นไปโดยถูกต้องตามประมวลรัษฎากรหรือเรียกได้ว่า “บัญชีภาษีอากร” (Tax Accounting) นอกเหนือจากบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วย การบัญชี

ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (4.)

เมื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า ออกใบกำกับภาษี และจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สิ่งสุดท้ายคือการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ที่กำหนด โดยผู้ประกอบการจะต้องจัดทำและยื่นทุกเดือน (ไม่ได้ยื่นเป็นรายปีเหมือนกับภาษีหลาย ๆ ประเภท)

โทษเกี่ยวกับ VAT (และใบกำกับภาษี)

1. ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ไม่จัดทำใบกำกับภาษี หรือสำเนาใบกำกับภาษี หรือจัดทำแล้วไม่ส่งมอบ ให้ผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่า ของภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี

2. ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษี ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ใบเพิ่มหนี้ โบลดหนี้ โดยมี รายการในส่วนที่เป็นสาระสำคัญไม่ครบถ้วนตามกฎหมายต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

3. ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ หรือใบแทนเอกสารดังกล่าว โดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท และต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่า ของภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี

4. ผู้ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ โดยไม่มีสิทธิออกเอกสารดังกล่าวตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท และต้องเสียเบี้ยปรับอีก ๒ เท่าของจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ และเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสีย นอกจากนั้น จะต้องรับผิดเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่แสดงในใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้

5. ผู้ประกอบการโดยเจตนานำใบกำกับภาษีปลอม หรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปใช้ในการเครดิตภาษี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท และต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี และเสียเบี้ยปรับ 1 เท่า ฐานยื่นภาษีซื้อไว้เกินและเสียภาษีคลาดเคลื่อน และเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ

บทกำหนดโทษที่เรายกมามีเพียงส่วนที่เกี่ยวกับใบกำกับภาษี ส่วนบทกำหนดโทษเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมด ดูได้ที่ กำหนดโทษการปฏิบัติฝ่าฝืนเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม

ปัญหาของการจด VAT

มาถึงตรงนี้พื้นฐานความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ของผู้อ่านน่าจะมากพอที่จะเข้าใจว่าต้องการสื่อความหมายอะไร และคุยกันรู้เรื่องแล้ว

ย้อนกลับไปที่ว่า ใครต้องจด VAT จะเห็นว่า คนที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือคนที่ต้องจด VAT คือคนที่ไม่ได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องจด VAT ก็จะเห็นว่าอาชีพหรือรายได้โดยส่วนใหญ่นั้น … ก็ไม่ได้รับการยกเว้นทั้งนั้นนั่นแหละ

ทีนี้เมื่อคุณไม่ได้รับการยกเว้น ก็จะต้องไปดูกันต่อว่าคุณมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่จะต้องจด VAT ไหม ซึ่งข้อนี้เป็นใจความสำคัญของปัญหาของการจด VAT เพราะกรมสรรพากรได้กำหนดว่า “ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี”

ย้ำอีกทีว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีที่ว่าคือ “รายรับ” ไม่ใช่กำไร ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายต้นทุนออกไป นั่นหมายถึงว่า ในกรณีนี้ คุณอาจจะมีรายรับ 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยที่ขาดทุนก็ได้ และถ้าหากถามว่ารายรับ 1.8 ล้านบาทนั้นน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน (หรือแม้แต่ 10 ปีที่แล้วจากวันที่เขียนบทความนี้ก็ตาม) นั่นคือ

  • ยอดขายเดือนละ 150,000 บาท
  • ยอดขายวันละ 5,000 บาท

ซึ่งในโลกของความเป็นจริง ถ้าหากว่าไม่ใช่ธุรกิจที่แปลกใหม่มาก ๆ หรือเป็นนวัตกรรม กำไรต่อหน่วยของธุรกิจเหล่านั้นมักจะไม่ค่อยสูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยธุรกิจทั่วไปมักจะมีอัตรากำไรอยู่ที่ประมาณ 20 - 35% เท่านั้น (40% นี่คือถือว่าเก่งแล้ว) แต่ที่หนักกว่านั้นคือธุรกิจซื้อมาขายไปที่มักจะมีกำไรอยู่แค่ระดับ 10 - 15%

ดังนั้น ถ้าหากยอดขายทั้งปีคือ 1,800,000 บาท กำไรของธุรกิจที่มีกำไร 30% คือ 540,000 บาทต่อปี หรือ 45,000 บาทต่อเดือน หรือในกรณีที่กำไร 15% ผู้ประกอบการที่ขายได้ 1.8 ล้านบาท จะมีกำไรเฉลี่ยเดือนละ 22,500 บาท

แม้ว่ากำไรเดือนละ 45,000 บาท ดูเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย ยิ่งเมื่อนำไปเทียบกับเงินเดือนของพนักงานประจำ แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมว่า อันดับแรกคุณต้องมีความสามารถสูงพอจะทำให้กำไร 30% อย่างสม่ำเสมอโดยไม่สามารถที่จะหย่อนยานได้เลยไม่ว่าจะเป็นเพราะผลกระทบจากปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอกก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเมื่อคุณเป็นบุคคลธรรมดาการหักค่าใช้จ่ายนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างจำกัดจำเขี่ย (ตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพว่านี่เป็นปัญหามากแค่ไหนคือ อาชีพฟรีแลนซ์ ที่หักค่าใช้จ่ายได้แค่ 100,000 บาท) แต่กลับมี Hidden Cost ที่ไม่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนได้อยู่มากมาย ทำให้กำไรเดือนละ 45,000 บาทจากการที่บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจนั้นไม่ได้มากอย่างที่คิด

ปัญหาจากภาระจากการจด VAT

แต่ปัญหาที่สำคัญคือ ด้วยรายได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ เมื่อคุณต้องจด VAT สิ่งที่ตามมานอกจากจะไม่ได้รวยขึ้นแล้ว (อีกนิดหนึ่งจะเฉลยว่าทำไม) คุณยังมีภาระจากการจด VAT ตามที่เราได้อธิบายอย่างยืดยาวในตอนต้น เช่น การที่ต้องจัดการจด VAT, การออกใบกำกับภาษีฉบับเต็ม, การออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ, การรักษาใบกำกับภาษีที่พร้อมส่งให้สรรพากรตรวจสอบ, การจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขาย, การจัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบ, การออกใบแทนใบกำกับภาษี, การแก้ไขใบกำกับภาษีในบางครั้ง, และการยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม

ซึ่งหน้าที่เหล่านี้จะเกิดขึ้น “ทุกเดือน” และในแต่ละภาระหน้าที่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยและต้นทุนที่แฝงอยู่ โดยจุดจบของเรื่องนี้คือการจ้างนักบัญชีในทุก ๆ เดือนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เรายังไม่ได้เพิ่มเข้าไปในตัวอย่างด้านบน

แน่นอนว่าที่ราคาถูกมี แต่คุณภาพก็จะเป็นไปตามราคา ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่าส่วนสำคัญของประเด็นนี้คือ ความผิดพลาด หมายถึง โทษตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ถ้าอยากใช้ซอฟต์แวร์ ERP ทุ่นแรง ก็จะต้องบวกค่าใช้จ่ายจาก ERP เข้าไปอีกเช่นกัน

ความเสี่ยงในการแข่งขัน

ประเด็นต่อมา คือประเด็นที่เราเกริ่นไปแล้วในหัวข้อ “การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อ” หรือการเพิ่ม VAT 7% เข้าไปในราคาสินค้าหรือบริการ นี่คือสิ่งที่เราติดเอาไว้ว่า “เมื่อคุณต้องจด VAT สิ่งที่ตามมานอกจากจะไม่ได้รวยขึ้น” นั่นเป็นเพราะคุณมีทางเลือก 2 ทาง คือ ขึ้นราคาแล้วรายได้ลดลง (ขายไม่ออก) กับขายราคาเท่าเดิมได้กำไรน้อยลง (แบกภาษีมูลค่าเพิ่ม)

เพราะถ้าราคาสินค้าคือ 100 บาท เมื่อจด VAT แล้วคุณจะต้องขาย 107 บาท ถ้าไม่อยากแบกภาษีมูลค่าเพิ่มเอาไว้เอง เพื่อรักษากำไรต่อหน่วยให้คงเดิม แต่ในทางปฏิบัติยิ่งราคาสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้นระดับความต้องการสินค้านั้นก็จะลดลงตาม และหันไปใช้สินค้าแบบเดียวกันที่ราคาถูกกว่าเป็นการทดแทน และจะยิ่งรุนแรงกับสินค้าประเภทที่มีความใกล้เคียงกันมาก ซึ่งถูกอธิบายเอาไว้ในแนวคิดของ Price Elasticity of Demand (ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา) ดังนั้นเราจะไม่อธิบายแบบลงรายละเอียด

ในขณะที่กิจการอื่นที่ไม่จด VAT ไม่ว่าจะด้วยการที่เป็นรายย่อยรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ หรือการที่เลี่ยงภาษีทั้งที่เป็นรายใหญ่รายได้ถึงแน่ ๆ จะยังคงสามารถขายด้วยราคา 100 บาทเท่าเดิม เพื่อให้ได้กำไรเท่ากัน ซึ่งในกรณีนี้เรามักจะเห็นกันบ่อย ๆ กับกรณีของร้านอาหารและสินค้าและบริการที่ขายแข่งกันในช่องทางออนไลน์ และยิ่งมีผลกระทบรุนแรงแบบทวีคูณกับผู้ประกอบการธุรกิจซื้อมาขายไปที่กำไรต่อหน่วยต่ำ โดยอาจทำให้กำไรต่อหน่วยลดลงได้ถึง 50% ได้ทันทีที่จด VAT จนต้องเลิกกิจการทันที

และในกรณีที่คุณต้องการขอคืน VAT คุณก็จะต้องซื้อจากผู้ที่จด VAT เหมือนกัน นั่นหมายถึงการที่คุณต้องเปลี่ยน Suppliers ซึ่งอาจส่งผลกับต้นทุนได้อีกต่อเช่นกัน

กล่าวคือ จากการจด VAT สิ่งที่ผู้ประกอบการจะได้รับทันทีคือความเสี่ยงจากต้นทุนต่อหน่วยหรือยอดขายที่เปลี่ยนไป ซึ่งในกรณีนี้ผู้ประกอบการไทยที่โดนทุ่มตลาดจากสินค้าราคาถูกปลอด VAT จากจีน เพิ่งจะได้รับการปกป้องด้วยการเก็บ VAT สินค้านำเข้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาทมาได้ไม่กี่เดือน 😊

รายได้ 1.8 ล้านชั่วคราว แต่จด VAT ตลอดไป

แม้ว่ารายได้ของคุณจะไปแตะ 1.8 ล้านบาท ด้วยกรณีพิเศษชั่วครู่ชั่วคราว หรือรู้ตัวแน่ ๆ อยู่แล้วว่าจะไม่ไปถึง 1.8 ล้านบาทอีกแน่นอน นั่นไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด เพราะทันทีที่รายได้ต่อปีของคุณแตะ 1.8 ล้านบาท คุณจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน … ไม่งั้นผิดกฎหมาย 👮

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ภาระหน้าที่จากการจด VAT จะตามคุณไปตลอดกาล

ใช่แล้ว ต่อให้คุณขาดทุนก็ยังมีภาระจากภาษีมูลค่าเพิ่ม นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเราต้องอธิบายโดยละเอียดว่าการจด VAT จะมีอะไรตามมาบ้าง

เพราะธรรมชาติของภาษีมูลค่าเพิ่ม คือภาษีที่เกิดจากการซื้อและขายสินค้าและบริการ ไม่ได้คำนวณว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่จากกำไรที่เข้ากระเป๋าผู้ประกอบการ และปัญหาที่สำคัญของ VAT คือ “คุณเก็บเขามาแล้ว” คุณก็ต้องจ่าย VAT ที่เก็บจากลูกค้ามาได้ให้กับสรรพากร เพราะการเก็บมามีค่าเท่ากับบอกลูกค้าของคุณว่า “นี่ ๆ ขอเพิ่ม 7% ด้วยนะ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม”การไม่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงมีสภาพที่ไม่ต่างจากเรายักยอกเงินของรัฐที่รัฐควรจะได้

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้ 7% นั้นเข้ากระเป๋า แต่ปัญหาคือหน้าที่เกี่ยวกับ VAT อย่างที่ได้เน้นย้ำไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วในบทความนี้

ครั้นคุณรู้ตัวว่ารายได้จะเกิน 1.8 ล้านบาท จะหยุดหารายได้เพิ่ม (ซึ่งเป็น Best Practice ที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกใช้) แต่กับอาชีพอิสระนั้นหลายครั้งไม่ได้อิสระขนาดนั้น ดังเช่น Rule of Horror ของ Freelance คือถ้าหากคุณปฏิเสธลูกค้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ลูกค้าคนนั้นจะหายไปตลอดกาล เสมือนคุณนั้นได้ตายไปแล้ว 🫵

แต่จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าจด VAT ตลอดไปก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะจริง ๆ แล้วคุณสามารถยกเลิกได้ … แต่การเลิกจด VAT นี้เองคือสิ่งแย่พอ ๆ กับการจด VAT ตลอดไป

แล้วปัจจุบันผู้ประกอบการรายย่อยทำอย่างไร?

ทั้งหมดทำให้ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการรายย่อยที่รู้ตัวดีว่าธุรกิจของตนเองอยู่ในจุดที่เป็นปัญหา เลือกที่จะไม่ขยายธุรกิจที่ได้อัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อย หรือเลือกที่จะหยุดรับงานที่จะทำให้รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นผลเสียอย่างแน่นอนอยู่แล้วกับธุรกิจที่ควรจะเติบโตสักนิดสักหน่อยก็ยังดี

เว้นแต่ผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องพึ่งสินค้าขั้นกลางสูงที่ต้องขอคืน VAT และ ผู้ประกอบการที่มีลูกค้าเป็นธุรกิจ (B2B Business) ซึ่งจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้

ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่รู้เกี่ยวกับการจด VAT และตัวเลข 1.8 ล้านบาทนี้ ก็ลงเอยด้วยภาษีย้อนหลัง

1.8 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่ใช้มานานกว่า 20 ปี

รู้หรือไม่ว่า ตัวเลขรายได้ 1.8 ล้านบาทนี้เป็นตัวเลขที่ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งแต่เมษายนปี พ.ศ. 2548 หรือ 20 ปีจนถึงวันที่เขียนบทความขึ้นมา ซึ่งเป็นการขยายจากฐานรายได้ 1.2 ล้านมาเป็น 1.8 ล้าน ซึ่งในสมัยนั้นจะเรียกว่าเยอะก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปาก

นับตั้งแต่นั้นมาตัวเลขรายได้ 1.8 ล้านบาท ก็ไม่ได้ปรับตามเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไปอีกเลย

ซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องคงเอาไว้ ทั้งที่การขยายขึ้นมาอีกไม่กี่ล้านบาท (หรือใช้เกณฑ์ที่เป็นมิตรกับรายย่อยมากขึ้น) แล้วปล่อยให้ผู้ประกอบการรายย่อยเติบโต เพื่อเข้าระบบ VAT และกลายเป็นนิติบุคคลย่อมทำให้รายได้เข้าประเทศได้มากกว่าในระยะยาวเห็น ๆ 🤦

เพราะสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่ใช่การจ่ายภาษี แต่ด้วยเกณฑ์นี้ทำให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่มั่นคง (มั่นคงที่ไม่ได้แปลว่าถาวร แต่หมายถึงไม่พังง่าย ๆ) ต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น พร้อมกับได้รับผลกระทบที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้นเมื่อพลาดพลั้งขึ้นมาในอนาคต