เรียนรู้พื้นฐานของการแข่งขัน Formula 1 ในทุกเรื่องควรรู้ เพื่ออรรถรสสูงสุดในการรับชมการแข่งขัน
ปัจจุบัน Formula 1 หรือ F1 ได้รับความนิยมมากขึ้นในวงกว้าง แม้แต่กับกลุ่มผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้สนใจด้านวิศวกรรมยานยนต์ หรือผู้ที่ไม่ได้มีความชื่นชอบรถยนต์เป็นพิเศษก็ตาม แต่ปัญหาหนึ่งของการดู F1 คือการที่เป็นกีฬาที่มีรายละเอียดยิบย่อยค่อนข้างมากในระดับที่ต่อให้เป็นผู้ที่รับชมเพื่อความบันเทิงเท่านั้นก็ยังพบว่ามีรายละเอียดที่ชวนสงสัยอยู่ไม่น้อย
บทความนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจกับพื้นฐานของกีฬา Formula 1 ในทุกเรื่องที่ควรรู้ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่อยากรู้ว่า Formula 1 คืออะไรและกำลังหัดดู F1 หรือเป็นแฟนกีฬาที่ต้องการเข้าใจรายละเอียดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น
บทความอัปเดตถึงการแข่งขันปี 2025
และเนื่องจากเป็นบทความที่ยาวมาก แนะนำให้เลือกอ่านโดยเลือกหัวข้อที่ต้องการจาก Table of Contents ด้านบน (หรือด้านข้างสำหรับ Desktop) 😊
Formula 1 คืออะไร?
Formula 1 คือ การแข่งขันระดับสูงสุดสำหรับรถประเภทล้อเปิด โดยคำว่า Formula 1 หรือ สูตร 1 หมายถึง ชุดของกฎและข้อกำหนดทางเทคนิคที่รถแข่งทุกคันต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกำหนดขึ้นมาโดย FIA (Fédération Internationale de l’Automobile) เพื่อให้การแข่งขันมีความยุติธรรม ปลอดภัย และมีสมรรถนะไม่ต่างกันมากเพื่อความตื่นเต้นของผู้ชม
โดย Formula 1 ถือเป็นการแข่งขันที่ถือว่าเป็นจุดสูงของมอเตอร์สปอร์ต (Pinnacle of Motorsport) จากทั้งในแง่ของความเร็วและการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ต ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบเบรก ระบบอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ ไปจนถึงวัสดุอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของรถทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่หลายหมื่นชิ้น ซึ่งทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ตามที่ FIA กำหนด
ปัจจุบัน ลักษณะพื้นฐานของรถแข่ง Formula 1 หรือ F1 ยังคงเป็นรถแข่งประเภทล้อเปิดที่มีเอกลักษณ์สำคัญคือมีปีกหน้าและปีกหลังเพื่อประโยชน์ทางด้านอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) ในส่วนของตัวรถปัจจุบันจะใช้ Chassis แบบ Carbon Fibre Monocoque ที่มีความทนทานสูงแต่มีน้ำหนักเบา อีกทั้งยังมี Halo และ Airbox สูงอยู่เหนือที่นั่งนักแข่งเพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัย
ในด้านกำลังของรถแข่ง ปัจจุบัน Formula 1 ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบไฮบริด V6 ขนาด 1.6 ลิตร (เสียงเครื่องยนต์ V6 ของ Formula 1 ยุคปัจจุบัน) มาพร้อมกับระบบ MGU-K และ MGU-H (เราจะเรียกทั้งหมดนี้ว่า Power Unit) มีพละกำลังประประมาณ 1000 แรงม้า โดยปัจจุบัน Power Unit ของ Formula 1 มีสัดส่วนกำลังจากกระบวนการสันดาป 80% (จะลดสัดส่วนของกำลังจากสันดาปเหลือ 50% ในกฎปี 2026 และเปลี่ยนมาใช้ 100% Sustainable Fuel)
- MGU-K (Motor Generator Unit - Kinetic) คือ ระบบมอเตอร์ที่เก็บพลังงานจลน์จากการเบรกเป็นไฟฟ้า แล้วเก็บไฟฟ้าเอาไว้ที่ Energy Store
- MGU-H (Motor Generator Unit - Heat) คือ ระบบมอเตอร์ที่ใช้เก็บพลังงานความร้อนจากไอเสีย แล้วเปลี่ยนส่วนหนึ่งเก็บเป็นไฟฟ้าเอาไว้ที่ Energy Store และอีกส่วนหนึ่งนำไปใช้ช่วยปั่น Turbo เพื่อแก้ปัญหา Turbo Lag (จะถูกตัดออกในปี 2026 เพื่อลดต้นทุนในการพัฒนา)
- พลังงานที่เก็บเอาไว้ใน Energy Store ด้วย MGU-K และ MGU-H จะถูกนำกลับมาใช้ด้วยระบบ ERS (Energy Recovery System) เพื่อทำความเร็วเพิ่มด้วยมอเตอร์เมื่อนักแข่งต้องการ โดยจะให้กำลังเพิ่มขึ้นอีก 160 แรงม้า
ดูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Power Unit ของ Formula 1 จากทีม Mercedes AMG Petronas ทั้งในส่วนของ Internal Combustion Engine, Turbo, MGU-K, MGU-H, และ Energy Store
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่ใช่ทุกทีมที่จะมีการวิจัยและพัฒนา Power Unit ขึ้นเอง เนื่องจากอาศัยต้นทุนด้านเวลาและการเงินที่ค่อนข้างสูง บางทีมจึงเลือกใช้งาน Power Unit ของทีมอื่น โดยปัจจุบัน Formula 1 มี Power Units ให้เลือกใช้ดังนี้
- Ferrari ทีมที่ใช้ ได้แก่ Ferrari, Haas, และ Sauber
- Mercedes ทีมที่ใช้ ได้แก่ Mercedes, McLaren, Aston Martin, และ Williams
- Red Bull Powertrains (มีพื้นฐานมาจาก Honda) มี 2 ทีมที่ใช้คือ Red Bull Racing และ Racing Bulls และในปี 2026 จะร่วมมือกับ Ford
- Renault (บริษัทแม่ของ Alpine) มี Alpine ทีมเดียวที่ใช้ แต่ Alpine จะใช้ Power Unit จาก Mercedes ตั้งแต่ 2026 ไปจนอย่างน้อย 2030
ในอนาคตปี 2026 จะมี Audi ที่เข้าสู่ Formula 1 โดยใช้ Power Unit ของตัวเอง และ Honda ที่กลับเข้าสู่ Formula 1 โดยเข้ามาทำ Power Unit ให้กับ Aston Martin ส่วน Cadillac ที่เพิ่งจะประกาศจะเข้าสู่ Formula 1 ในปี 2026 จะใช้ Power Unit (รวมถึง Gear Box) จาก Ferrari ก่อนที่จะพัฒนา Power Unit ใช้เองในภายหลัง
นอกจากนี้ การพัฒนารถแข่ง Formula 1 ยังมีข้อจำกัดเบื้องต้นที่ควรรู้ ได้แก่
- จำกัดงบในการพัฒนาต่อปีไม่เกิน 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (อาจปรับเพิ่มตามเงินเฟ้อในอนาคต) โดยมีข้อยกเว้นหลัก ๆ คือไม่รวมค่าตอบแทนนักแข่ง และพนักงาน 3 คนที่ค่าตอบแทนสูงสุด
- จำกัดเวลาในการใช้อุโมงค์ลมในการทดสอบ Aerodynamics โดยขึ้นอยู่กับอันดับ (ยิ่งอันดับต่ำยิ่งได้เวลามาก)
- ไม่สามารถนำรถแข่ง Formula 1 ของปีปัจจุบันและปีก่อนหน้ามาขับนอกเหนือจาก Race Weekend
- จำกัดจำนวนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถ ซึ่งถ้าหากเปลี่ยนเกินจำนวนครั้งจะต้องรับโทษลด Starting Grid
หมายเหตุ: เราจะไม่ลงรายละเอียดไปถึงลักษณะและรายละเอียดในเชิงเทคนิคของแต่ละชิ้นส่วน อย่างเช่น Sidepod, Front Wing, Rear Wing, รูปแบบ Suspension, พื้นรถ, การวางตำแหน่งที่นั่งคนขับ, Gulleys, และ Engine cover เพราะจะทำให้บทความนี้ยาวขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะจุดประสงค์ดั้งเดิมคืออธิบายพื้นฐาน Formula 1 ได้เพียงพอที่ผู้อ่านจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เพื่อที่จะสามารถเข้าใจถึงการกระทำบางอย่างที่เกิดขึ้นว่าทำไปเพราะอะไรในเบื้องต้น
หากต้องการอ่านกฎปัจจุบันของ Formula 1 ทั้งหมด สามารถอ่านได้จาก FIA Formula One World Championship Regulations
Teams
ปัจจุบันทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน Formula 1 มีทั้งหมด 10 ทีม โดยแต่ละทีมจะมีรถ 2 คันเพื่อเก็บคะแนนประเภททีม ซึ่ง 10 ทีมนั้น ได้แก่
- BWT Alpine Formula One Team
- Aston Martin Aramco Formula One Team
- Scuderia Ferrari HP
- MoneyGram Haas F1 Team
- Stake F1 Team Kick Sauber
- McLaren Formula 1 Team
- Mercedes-AMG PETRONAS Formula 1 Team
- Visa Cash App Racing Bulls Formula One Team
- Oracle Red Bull Racing
- Williams Racing
และในปี 2026 จะมีทีมที่ 11 เข้ามาร่วมการแข่งขัน คือ Cadillac จาก General Motors (GM) ที่ร่วมมือกับ Andretti
หมายเหตุ: ตัวหนา คือ แบรนด์ของทีม (ชื่อเต็มของทีมจะรวม Title Sponsor เข้าไปด้วย) โดยปัจจุบัน McLaren และ Williams ไม่มี Title Sponsor
โดยในแต่ละปีแต่ละทีมจะมีการเปิดตัวรถแข่งและลายของรถแข่ง (livery) ในช่วงต้นปี (ประมาณปลายเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์) ก่อน Pre-season Test จะเริ่มต้น
อะไรคือเสน่ห์ของ Formula 1
แน่นอนว่าความชอบเป็นเรื่องปัจเจกที่แตกต่างกันไปตามความสนใจ ประสบการณ์ชีวิต รวมถึงวัฒนธรรมที่เติบโตมา ทำให้การติดตามดู Formula 1 มีอยู่มากมายหลายสาเหตุ ดังนั้น ใครที่กำลังสนใจ Formula 1 หรือกำลังลังเลว่าจะหันมาติดตาม Formula 1 ลองมาดูเหตุผลในการชื่นชอบ Formula 1 ของหลายกลุ่มคนที่เราพอจะนึกออก ว่ามีอะไรตรงกับจริตความชอบของคุณอยู่บ้างหรือไม่
- ชื่นชอบรถยนต์ หรือการแข่งขันรถยนต์ (และ Motorsport)
- ติดตามนักแข่ง จากความชื่นชอบที่มีต่อ Personal Branding ของนักแข่งแต่ละคน
- ชื่นชอบในด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ Aerodynamics หรือแม้แต่ในส่วนอื่น ๆ ที่มองไม่เห็น
- ชื่นชอบความซับซ้อนในรายละเอียดของการแข่งขัน และการทำงานในด้านกลยุทธ์ระหว่างการแข่งขันของแต่ละทีม
- สนใจจากประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของ Formula 1 รวมถึงกรณีที่เห็นมาตั้งแต่เล็กจึงเกิดความสนใจ
- การที่การติดตามการแข่งขัน Formula 1 ให้ความรู้สึกเหมือนดู Reality Show ที่มีเหตุการณ์นอกสนาม (รวมถึงการเมืองนอกสนาม) ให้ติดตามอยู่เสมอ อีกทั้งยังรวมไปถึงการเฝ้าดูความพยายามในการสร้างและต่อยอด Brand Heritage ของทีม หรือแม้แต่การ Modernized รายการแข่งขัน F1 ให้สดใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่มีการ Rebrand ของ Formula 1 เมื่อครั้งที่ Liberty Media เข้าซื้อ Formula One Group ที่มีการปรับปรุง Brand Identity ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
- Meme!
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งหนึ่งที่สนุกไม่แพ้กันสำหรับการดู Formula 1 คือ มุมมองด้านการบริหารองค์กร เพราะถ้าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าในการแข่งขัน Formula 1 ทีมแข่งคือบริษัทหนึ่งที่สร้างผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นรถแข่ง Formula 1 เพื่อนำมาแข่งขันภายใต้กฎ (ที่เปรียบได้กับตลาด) ในขณะที่แต่ละทีมไม่ได้มีพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็น Know-how, เงินทุนที่อยู่นอกเหนือจากกฎ Cost Cap, หรือแม้แต่ทรัพยากรที่เป็นมรดกมาตั้งแต่ก่อนการมี Cost Cap
การเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสั้น ๆ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น F1 จึงมักจะเป็นการวางแผนระยะยาวภายใต้กฎการแข่งขันปัจจุบัน (กฎปัจจุบันอยู่ระหว่างปี 2022 ถึง 2025) และมีอะไรออกมาเซอร์ไพรส์ภายใต้ข้อจำกัดอยู่เสมอ ส่งผลให้ในแต่ละฤดูกาลมักจะมีทีมอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
- ทีมหัวตาราง ที่เป้าหมายคือลุ้นขึ้นโพเดียม (หรือแม้แต่ชนะในบางกรณี) เพื่อเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดเพื่อชิงแชมป์โลก
- ทีมกลางตาราง มีเป้าหมายในการทำอันดับให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (หรือทำผลงานได้ดีกว่าปีก่อน)
- ทีมท้ายตาราง เป็นทีมที่ลุ้นเก็บคะแนนให้ไม่ได้อันดับสุดท้าย เพื่อเพิ่มเงินรางวัลที่ได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือไม่คาดหวังในผลการแข่งขันเพราะอยู่ระหว่างกลยุทธ์ Turnaround
ความสำเร็จของการแข่งขันของ Formula 1 จึงไม่ได้มีเพียงการเป็นอันดับ 1 หรือการขึ้นโพเดียมในฐานะ Top 3 เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการทำผลงานให้ได้ดีกว่าที่ควรจะเป็น เพราะอันดับที่ดีขึ้นหมายถึงส่วนแบ่งเงินรางวัลที่ขยับมากขึ้นในระดับหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในส่วนของการแข่งขันในสนามก็เช่นกัน รถแข่งก็จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามความห่างของเวลา และจะมุ่งเป็นผู้นำของกลุ่มตัวเองเป็นหลัก เว้นแต่มีเหตุการณ์พิเศษให้ระยะห่างระหว่างกลุ่มหายไป เช่น การเกิดอุบัติเหตุแล้วเริ่มต้นการแข่งขันใหม่
Race Weekend
การแข่งขัน Formula 1 จะจัดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกตลอดทั้งปี เรียกแต่ละการแข่งขันว่า “กรังด์ปรีซ์” (Grand Prix) Formula 1 Grand Prix ในแต่ละสนามจะจัดขึ้นในสุดสัปดาห์ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตามเวลาของประเทศที่จัด (ยกเว้น Las Vegas Grand Prix ที่จัดขึ้นในวันพฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์) โดยในแต่ละปีจะประกาศตารางการแข่งขัน Formula 1 ออกมาล่วงหน้า ซึ่งในแต่ละวันของ Race Weekend จะแบ่งเป็น session ดังนี้
วันศุกร์ ประกอบด้วย
- Free Practice 1 และ Free Practice 2
- ในสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน Sprint Race รอบ Free Practice 2 จะถูกแทนที่ด้วย Sprint Qualifying
วันเสาร์ ประกอบด้วย
- Free Practice 3 และ Qualifying
- ในสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน Sprint Race รอบ Free Practice 3 จะถูกแทนที่ด้วยการแข่งขัน Sprint Race
วันอาทิตย์ คือ วันแข่งขันจริงเสมอ (Race Day)
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการแข่งขัน Support Race อย่างเช่น Formula 2, Formula 3, และ F1 Academy ที่แตกต่างกันไปในแต่ละ Grand Prix Weekend
โดยสนาม (Track) ที่ใช้จัดแข่ง Formula 1 จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ สนามประเภทที่ออกแบบมาเป็นสนามแข่งรถตั้งแต่แรก (ต้องผ่านมาตรฐาน FIA Grade 1) กับ สนามแข่งในเมืองที่เปลี่ยนถนนมาใช้เป็นสนามแข่ง (เรียกว่า Street Circuit) ซึ่งสนามแข่งเหล่านี้จะต้องผ่านเกณฑ์ทั้งในแง่ของสภาพสนามเองและสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ที่จำเป็นต่อนักแข่งและผู้เข้าร่วมหลายแสนคนในสุดสัปดาห์ที่จัดการแข่งขัน (สามารอ่านบทความเกี่ยวกับ เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัด Formula 1)
ด้วยเหตุนี้ ในระยะหลัง Formula 1 จึงมีความพยายามในการเพิ่มสนามแข่งในลักษณะ Street Circuit เข้ามามากขึ้น เพราะในเมือง (ที่มักจะเป็นเมืองท่องเทียว) จะมี facilities ที่ครบถ้วนรองรับอยู่แล้วโดยที่ประเทศเจ้าภาพไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก อีกทั้งยังมีตัวเมืองท่องเที่ยวนั้นเองที่ใช้เป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูดผู้เข้าชม เพื่อช่วยลดโอกาสขาดทุนเมื่อเทียบกับการจัดการแข่งขันในสนามแข่งที่อยู่ Middle of Nowhere
ในทำนองเดียวกัน นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมการจัดการแข่งขัน Formula 1 ในไทยจึงพุ่งเป้าไปที่การจัดในรูปแบบ Street Circuit ในกรุงเทพมหานคร แทนที่จะเป็นการจัดขึ้นที่สนามช้าง (Chang Circuit) ที่เป็น FIA Grade 1 อยู่แล้ว
Free Practice
Free Practice คือ รอบซ้อม เป็น session ที่แต่ละทีมจะนำรถออกมาวิ่งเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดและ setup ตัวรถตามความแตกต่างกันของตัวแปรในแต่ละสนาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการ Qualifying และในการแข่งขันจริงที่ดีที่สุด
สิ่งสำคัญที่ควรรู้ คือ เวลาที่ทำได้ใน Free Practice มีตัวแปรที่แตกต่างกันมากมายจากการที่เป็นรอบฝึกซ้อม อย่างเช่น น้ำหนักของน้ำมันที่ต่างกัน ยางที่ใส่ออกมาวิ่งทำเวลาแตกต่างกันในสภาพสนามที่แตกต่างกัน บางทีมขับทำเวลาในขณะที่บางทีมไม่ได้ขับทำเวลา และการ Set-up ตัวรถที่ไม่ได้นำมาใช้จริง เป็นต้น ส่งผลให้เวลาจากรอบ Practice ยากที่จะนำมาอ้างอิง
โดยในแต่ Race Weekend จะประกอบด้วย Free Practice 3 รอบ (Free Practice ในสัปดาห์ที่มีแข่ง Sprint Race จะมีแค่รอบเดียว) และในแต่ละ Free Practice จะมีเวลา 1 ชั่วโมง (แต่อาจมีการเพิ่มเวลาให้ในกรณีพิเศษบางกรณี)
Free Practice 1
Free Practice 1 จะจัดขึ้นในช่วงเช้าของวันศุกร์
ในทุก Race Weekend จะมี Free Practice 1 เสมอ
Free Practice 2
Free Practice 2 จัดขึ้นในช่วงบ่ายของวันศุกร์
ในสัปดาห์ที่มี Sprint Race จะไม่มี Free Practice 2 แต่แทนที่ด้วย Sprint Qualifying
Free Practice 3
Free Practice 3 จัดขึ้นในช่วงเช้าของวันเสาร์
ในสัปดาห์ที่มี Sprint Race จะไม่มี Free Practice 3 แต่แทนที่ด้วยการแข่งขัน Sprint Race
หมายเหตุ: ในกรณีของสนามที่เป็นแข่งขันแบบ Night Race จะเลื่อนเวลาของ session จากช่วงเช้าเป็นบ่าย และจากช่วงบ่ายเป็นกลางคืนแทน
Qualifying
Qualifying Session คือ การแข่งทำเวลาต่อรอบ เพื่อหาตำแหน่งสตาร์ตในวันแข่งจริง เรียกว่า Starting Grid ซึ่งรอบ Qualifying จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย (หรือช่วงกลางคืนของ Night Race) ของวันที่ 2 ของ Race Weekend ซึ่งก็คือวันเสาร์
โดยการ Qualifying จะแบ่งออกเป็น 3 sessions ย่อย ในแต่ละ session ของการ Qualifying จะมีกำหนดเวลาที่แตกต่างกัน ระหว่างนี้รถแต่ละคันจะออกมาวิ่งทำเวลาต่อรอบเพื่อทำเวลาที่ดีที่สุด ดังนี้
- Qualifying 1 (Q1) มีเวลา 18 นาที เพื่อคัดจาก 20 เหลือ 15 คัน หาอันดับ 16 ถึง 20
- Qualifying 2 (Q2) มีเวลา 15 นาที เพื่อคัดจาก 15 เหลือ 10 คัน หาอันดับ 11 ถึง 15
- Qualifying 3 (Q3) มีเวลา 12 นาที เพื่อหาอันดับ 1 ถึง 10
หมายเหตุ: อันดับที่ได้จากการ Qualifying ในวันเสาร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในวันแข่งขันจริง เนื่องจากอาจมีนักขับบางคนได้รับโทษปรับ Starting Grid ที่จะทำให้อันดับการออกตัวถูกปรับลดไปตามโทษที่ได้รับ
สีในแต่ละ Sector
🟪 สีม่วง หมายถึง เป็นเวลาดีที่สุดจากนักแข่งทุกคนขณะนั้นใน Sector ดังกล่าว
🟩 สีเขียว หมายถึง เป็นการทำเวลาใน Sector ดังกล่าวได้ดีที่สุดของตัวนักแข่งเอง (Personal Best)
🟨 สีเหลือง หมายถึง ใน Sector ดังกล่าวทำเวลาได้ต่ำกว่า Personal Best (เคยทำได้เร็วกว่านี้)
การที่ส่วนไหนของสนามจะถูกนับว่าเป็น Sector 1, 2, และ 3 จะแตกต่างกันไปในแต่ละสนาม
จากภาพจะเห็นว่า Lewis Hamilton ช้ากว่า Personal Best ใน Sector 1, ทำเวลาส่วนตัวได้ดีที่สุดใน Sector 2, และทำเวลาดีสุดจากนักแข่งทั้งหมดใน Sector 3
Time Deleted / Track Limit
ระหว่างการ Qualifying ถ้าหากนักขับขับออกนอกเส้นขาวทั้ง 4 ล้อ จะถือว่าเป็นการออกนอก Track เรียกว่า Track Limit ซึ่งจะส่งผลให้เวลาที่ทำได้ในรอบดังกล่าวถูกลบออกไป (Time Deleted)
Timing
นอกเหนือจากอันดับ Starting Grid ที่เป็นผลลัพธ์ของรอบ Qualifying (และ Sprint Qualifying) สิ่งที่น่าสนใจของการ Qualifying คือกลยุทธ์ของแต่ละทีมในการเลือกและบริหาร Timing ในการปล่อยรถออกมาวิ่งทำเวลาให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เพราะการปล่อยรถออกมาวิ่งก่อน แม้ว่าจะได้วิ่งทำเวลาโดยไม่มีปัญหาการจราจร แต่ก็แลกมาด้วยเวลาที่ด้อยกว่า เนื่องจากอุณหภูมิและเศษยางจากคันก่อน ๆ ทำให้การยึดเกาะของรถในรอบต่อ ๆ ไปดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เวลาต่อรอบของรถที่วิ่งรอบท้าย ๆ ดีขึ้นอย่างมีนัยยะสําคัญ (เราเรียกสภาพสนามที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในลักษณะนี้ว่า Track Evolution)
ในทางกลับกัน การออกมาวิ่งช้ากว่าในช่วงใกล้หมดเวลา session เพื่อหวังรอ Track Evolution ก็จะแลกด้วยความเสี่ยงจากทั้งปัญหาการจราจรและโอกาสที่การ Qualifying ใน session ดังกล่าวจะตัดจบจากอุบัติเหตุของรถคันอื่นแล้วไม่ได้ขับทำเวลา ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะตกรอบจากการที่ไม่ได้ออกมาขับทำเวลาหรือเพราะเวลาที่ด้อยกว่ามาก
ในขณะที่การออกมาวิ่งมากเกินไปก็จะทำให้หมดยาง Soft ที่ใช้ในการ Qualifying มากเกินไป ส่งผลให้ใน Q2 และ Q3 ของการ Qualifying อาจไม่มียาง Soft ใหม่เหลือสำหรับการชิง Grid Start อันดับต้น ๆ ในรอบ Q3 แต่การประหยัดยางแล้วเลือกที่จะใช้ยางเก่าก็มาพร้อมความเสี่ยงที่จะทำเวลาได้ไม่ดีพอและตกรอบ ได้เช่นกัน
107% Rule
107% Rule (Minimum lap time requirement) เป็นกฎเวลาต่อรอบขั้นต่ำที่นักแข่งต้องทำให้ได้ไม่เกิน 107% ของเวลาที่เร็วที่สุด (Fastest Lap) ในรอบ Qualifying 1 เพื่อให้มีสิทธิเข้าร่วมแข่งขันในวันแข่ง/จริง (Race Day) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่ช้าเกินไปจนเกิดอันตรายและเป็นอุปสรรคในวันแข่งจริง
ตัวอย่างเช่น ถ้าในการ Qualifying ในรอบ Q1 เวลาที่ดีที่สุดคือ 100 วินาที เวลาขั้นต่ำที่ทุกคนต้องทำได้คือ 107 วินาที หรือ 1 นาที 47 วินาที
นอกเหนือจากประโยชน์ด้านความปลอดภัย กฎ 107% Rule จึงเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้แต่ละทีมปล่อยรถออกมาขับทำเวลา (กันพลาด) แทนที่จะรอใกล้ช่วงหมดเวลาแล้วค่อยปล่อยรถออกมา
หมายเหตุ: ในกรณีที่สนามถูกประกาศว่าเปียก (Wet Track) กฎนี้จะไม่ถูกนำมาใช้ และนักแข่งที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 107% Rule อาจได้รับอนุญาตให้ลงแข่งได้หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเร็วเพียงพอในช่วงการฝึกซ้อม (Practice Sessions) หรือมีเหตุผลพิเศษอื่นนอกเหนือการควบคุมของนักแข่ง
Race Day
Race Day คือ วันแข่งขันจริงที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ของแต่ละ Formula 1 Grand Prix โดยจะเป็นการแข่งขันที่มีระยะทางขั้นต่ำ 305 กิโลเมตร (จำนวนรอบขึ้นอยู่กับระยะทางของแต่ละสนาม) ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาสำหรับแข่งขันประมาณ 90 ถึง 120 นาที
ทั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันและทีมจะไม่ได้รางวัลจากการชนะจาก Formula 1 ในแต่ละสนามนอกเหนือจากถ้วยรางวัล แต่อันดับที่ทำได้ของนักแข่งแต่ละคนจะกลายเป็นคะแนนส่วนตัวของแต่ละคน (Drivers’ Championship) และนำคะแนนของนักขับทั้ง 2 คนมารวมเพื่อเป็นคะแนนสะสมสำหรับทีม (เรียกว่า Constructors’ Championship) ในแต่ละฤดูกาล
โดยนักขับ 10 อันดับแรกในแต่ละสนามจะได้คะแนนสะสม ดังนี้
อันดับ | คะแนน |
---|---|
1 | 25 |
2 | 18 |
3 | 15 |
4 | 12 |
5 | 10 |
6 | 8 |
7 | 6 |
8 | 4 |
9 | 2 |
10 | 1 |
คะแนนเหล่านี้จะถูกรวมตลอดฤดูกาลเพื่อหาแชมป์ประเภทนักขับ (Drivers’ Champion) และแชมป์ประเภททีม (Constructors’ Champion) ในแต่ละปี ซึ่งอันดับของ Constructors’ Champion เป็นสิ่งที่จะทำให้ส่วนแบ่งรายได้จาก Formula 1 ในแต่ละปีของทั้ง 10 ทีม แตกต่างกันตามอันดับ
ยาง (เบื้องต้น)
ยางที่ใช้ในการแข่งขัน Formula 1 ในปัจจุบันคือยางยี่ห้อ Pirelli เพียงยี่ห้อเดียว (ไปอย่างน้อยจนถึงปี 2027) ที่ขนาด 18 นิ้ว โดยแบ่งยางที่ใช้เป็น 5 แบบ แบ่งเป็น 3 แบบสำหรับสนามแห้ง (ยางสลิค) ได้แก่
- 🔴 Soft เป็นยางที่นิ่มที่สุด เกาะพื้นสนามมากที่สุดเร็วที่สุด แต่หมดไวที่สุดเช่นกัน
- 🟡 Medium เป็นยางที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Soft และ Hard
- ⚪ Hard เป็นยางประเภทที่แข็งที่สุด อยู่ได้นานที่สุด แต่ความสามารถในการยึดเกาะต่ำที่สุดจากทั้ง 3 ประเภท
และ 2 แบบสำหรับสนามเปียก (ยางมีร่องดอกยางสำหรับรีดน้ำ) ได้แก่
- 🟢 Intermediate เป็นยางที่มีร่องไม่ลึก เหมาะกับสภาพสนามที่น้ำขังไม่มาก
- 🔵 Wet เป็นยางที่มีร่องลึกเพื่อรีดน้ำในปริมาณมาก เหมาะสำหรับบสภาพสนามที่น้ำขังมาก
ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของยางแต่ละประเภท (และจุดที่แสดงประสิทธิภาพได้สูงสุด) อาจแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ อย่างเช่น อุณหภูมิยาง อุณหภูมิสนาม ลักษณะเฉพาะของสนาม สภาพของสนามที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา การ setup รถแต่ละคัน ตลอดจนประสิทธิภาพของรถต่อยางแต่ละแบบที่แตกต่างกัน จึงทำให้เราจะได้พบกลยุทธ์การเลือกใช้ยางที่แตกต่างกันตามข้อมูลที่มีของแต่ละทีม
นอกจากนั้น ในการแข่งขันจะมีการบังคับให้รถแต่ละคันจะต้องเปลี่ยนยางอย่างน้อย 1 ครั้ง และใช้ยาง 2 Compounds ที่แตกต่างกันในแต่ละการแข่งขัน (ยกเว้นกรณีที่ฝนตกแล้วต้องใช้ยาง Intermediate หรือ Wet ที่จะสามารถใส่ยางเพียงแบบเดียวในหนึ่งการแข่งขันได้)
ยาง (ในรายละเอียด)
แม้จะบอกว่ายางสำหรับ Formula 1 ในการแข่งขันที่ไม่ใช่สนามเปียกจะมี 3 แบบ คือ Soft, Medium, และ, Hard แต่แท้จริงแล้วยางสำหรับสนามแห้งจะมีอยู่ทั้งหมด 6 Compounds เรียกว่า C1 ถึง C6 โดย C1 จะเป็นยางชนิดแข็งที่สุด ที่ความสามารถในการยึดเกาะต่ำที่สุดแต่ใช้ได้นานที่สุด และยาง C6 เป็นยางที่นิ่มที่สุด ที่ความสามารถในการยึดเกาะสูงที่สุด แต่ใช้ได้ไม่นานที่สุด
ในแต่ละสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน Pirelli จะเป็นผู้เลือกใช้ยาง 3 Compounds จากยางทั้ง 6 Compounds ที่เหมาะกับแต่ละสนามตามข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจ โดยยาง Compound ที่แข็งที่สุดจะใช้เป็นยาง Hard และยางที่นิ่มที่สุดจะใช้เป็นยาง Soft ส่วนยาง Compound ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Hard กับ Soft จะใช้เป็นยาง Medium
ตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์นี้เลือกใช้ยางดังนี้ C1 [C2 C3 C4] C5 C6
หมายความว่า ในสัปดาห์นี้ C2 จะเป็นยาง Hard, ยาง C3 เป็นยาง Medium, และ C4 เป็นยาง Hard
ในขณะที่อีกสัปดาห์อาจะเลือกใช้ยางดังนี้ C1 C2 [C3 C4 C5] C6
จะเห็นว่าในครั้งนี้ C3 จะกลายเป็นยาง Hard แทน, ส่วน C4 จะกลายเป็นยาง Medium, และ C5 จะกลายเป็นยาง Soft แทน ทำให้บางครั้งเราจะพบว่าบางทีมมีปัญหากับ Compound ของยางที่เปลี่ยนไปในแต่ละสนามและพบว่าผลงานย่ำแย่ลงมากกว่าที่ควรในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน
โดยคุณสามารถติดตามข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการใช้ยางของการแข่งขัน Formula 1 ในแต่ละสนาม ได้ที่ X (Twitter) ที่บัญชี @pirellisport ซึ่งจะมีการอัปเดตข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับยางในแต่ละ Race Weekend เช่น
- รายละเอียดของยางที่ใช้กับแต่ละสนาม
- เงื่อนไขการ setup ของสนามนั้น ๆ
- ข้อมูลสนามและภาระที่ยางได้รับในแต่ละสนาม
- แผนการใช้ยางที่เป็นไปได้ในแต่ละสนาม
- ยางที่เหลือหลังจากรอบ Free Practice และ Qualify ของแต่ละคน
- สรุป แผนการเปลี่ยนยางของแต่ละคนในแต่ละสนามหลังจากจบการแข่งขัน
ตัวอย่างข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับสนามจากทาง Pirelli
Tyre Allocation
ใน Race Weekend ที่ไม่มีการแข่งขัน Sprint Race แต่ละทีมจะได้รับการจัดสรรยาง 13 ชุด แบ่งเป็น Hard 2 ชุด, Medium 4 ชุด, Soft 6 ชุด, และ Soft อีก 1 ชุดสำหรับทีมที่ผ่านเข้ารอบ Qualifying 3 (Q3) ที่เป็นรอบสุดท้ายของการ Qualifying ในวันเสาร์
ใน Race Weekend ที่มีการแข่งขัน Sprint Race แต่ละทีมจะได้รับการจัดสรรยาง 12 ชุด แบ่งเป็น Hard 2 ชุด, Medium 4 ชุด, Soft 6 ชุด
ในส่วนของยางสำหรับสนามเปียก จะได้รับการจัดสรรแยกต่างหาก 7 ชุด โดยแบ่งเป็น Intermediate 5 ชุด และ Wet 2 ชุด
โดยการจัดสรรยางทั้งหมดที่แต่ละทีมได้รับจะใช้ในตลอดสุดสัปดาห์การแข่งขัน ทำให้เรื่องของใช้ยางเป็นตัวแปรที่ส่งผลอย่างมากกับกลยุทธ์ในการแข่งขัน
DRS
Drag Reduction System (DRS) คือ ฟังก์ชั่นการเปิดปีกหลัง (Rear Wing) ของตัวรถในช่วงทางตรงเพื่อลดแรงต้านอากาศ ทำให้รถได้ความเร็วเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ การใช้งาน DRS ไม่ใช่สิ่งที่สามารถใช้งานได้อย่างอิสระ แต่มีเงื่อนไขการใช้งานดังนี้
- DRS จะใช้งานได้ตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป หลังจากเริ่มการแข่งขัน หรือหลังจากการ restart
- จะต้องได้สิทธิในการใช้ DRS ก่อน ในที่นี้คือเป็นรถคันหลังที่อยู่ห่างจากรถคันหน้าไม่เกิน 1 วินาทีเมื่อผ่านจุดตรวจจับระยะ (DRS Detection Zone) จึงจะได้สิทธิในการเปิดใช้งาน DRS
- DRS จะเปิดใช้งานได้เฉพาะใน DRS Zone เท่านั้น ซึ่งมักจะเป็นช่วงทางตรงของสนาม
- ในแต่ละสนามมีจำนวน DRS Zone ไม่เท่ากัน
- ไม่สามารถใช้ได้ในกรณีที่สนามอยู่ในสภาพอันตราย อย่างเช่น ฝนตก
อย่างไรก็ตาม DRS สามารถเปิดใช้ได้ตามต้องการใน Free Practice และ Qualifying ตราบใดที่สนามไม่อยู่ในสภาพอันตราย
หมายเหตุ: ในปี 2026 ระบบ DRS จะถูกนำออกและแทนที่ด้วยระบบ Manual Override Mode (MOM?) ที่เป็นการเปิดปีกหน้าและหลัง เรียกว่า X-mode เพื่อลดแรงต้านอากาศเพื่อเพิ่มความเร็วในทางตรง ส่วนเวลาปิดจะเรียก เรียกว่า Z-mode (อาจจะมีการเปลี่ยนชื่อและเงื่อนไขในอนาคต)
รายละเอียดเชิงเทคนิคอื่น ๆ เกี่ยวกับ DRS จากทีม Mercedes, Aston Martin, Red Bull Racing, และจาก Formula 1
Safety Car คืออะไร
Safety Car คือ รถที่ทำหน้าที่ขับนำเมื่อสนามอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย เพื่อรอ Staff จัดการความเรียบร้อยของสนามให้กลับมาพร้อมแข่งขันอีกครั้ง (ระหว่าง Yellow Flag) โดย Safety Car จะขับด้วยความเร็วที่จำกัดและนักแข่งจะต้องขับตามหลัง Safety Car และห้ามทำการแซงกัน
ปัจจุบัน Formula 1 ใช้รถ 2 รุ่นเป็น Safety Car คือ Mercedes-AMG GT Black Series และ Aston Martin Vantage ที่ปรับแต่งตามความต้องการสำหรับการใช้เป็น Safety Car (แต่ละสนามจะเลือกใช้รุ่นใดรุ่นหนึ่ง) และขับโดย Bernd Mayländer
Sprint Race
Sprint Race คือการแข่งขันระยะสั้น 100 กิโลเมตร (1 ใน 3 ของ Race จริง) และไม่มีเงื่อนไขการบังคับเปลี่ยนยาง ส่งผลให้สามารถใช้ยาง Compound เดียวได้ตลอดการแข่ง Sprint Race ส่วนรางวัลของผู้ชนะ Sprint Race จะได้รับ 8 คะแนน และลดหลั่นลงมาจนถึง 1 คะแนนที่อันดับ 8
ใน Race Weekend ที่มีการแข่งขัน Sprint Race จะมีการจัดแข่ง Sprint Race ในช่วงเช้าของวันเสาร์แทนที่ Free Practice 3 และจัดรอบ Sprint Qualifying ขึ้นในวันศุกร์แทนที่ Free Practice 2
Sprint Race จะต้องใช้ setup ของรถเหมือนกับ Sprint Qualifying และจะปรับ setup ได้อีกครั้งหลังจบ Sprint Race เพื่อเตรียมตัวสำหรับรอบ Qualifying ของการแข่งขันจริง ด้วยเหตุนี้จึงมีบางทีม (โดยเฉพาะทีมกลางถึงท้ายตาราง) อาศัย Sprint Race ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมากกว่าการมุ่งไปที่การทำคะแนนที่ทำได้ยากกว่า (เพราะอันดับต่ำสุดที่ได้คะแนนคืออันดับ 8)
อันดับ | คะแนน |
---|---|
1 | 8 |
2 | 7 |
3 | 6 |
4 | 5 |
5 | 4 |
6 | 3 |
7 | 2 |
8 | 1 |
Sprint Qualifying
Sprint Qualifying คือ การ Qualifying สำหรับหาอันดับ Starting Grid ในการแข่ง Sprint Race ซึ่งจะมีกฎที่แตกต่างจากการ Qualifying ปกติ ในส่วนของเวลาที่ลดลงและมีการบังคับใช้ยางในแต่ละรอบ ดังนี้
- Sprint Qualifying 1 (SQ1) มีเวลา 12 นาที ใช้ยาง Medium 1 set
- Sprint Qualifying 2 (SQ2) มีเวลา 10 นาที ใช้ยาง Medium 1 set
- Sprint Qualifying 3 (SQ3) มีเวลา 8 นาที ใช้ยาง Soft 1 set
โดยในสัปดาห์ที่มี Sprint Race จะจัดรอบ Sprint Qualifying ขึ้นในวันศุกร์แทนที่ Free Practice 2
วิธีอ่าน Leaderboard ของ F1
Leaderboard ของ Formula 1 เป็นสิ่งที่แสดงข้อมูลต่าง ๆ ของนักแข่งที่กำลังแข่งขัน โดยความหมายของแต่ละส่วนของ Leaderboard จะมี ดังนี้
- Session (ถัดจาก logo F1) จะบ่งบอกว่าคือ session อะไร
- Race คือการแข่งขันจริง
- Sprint คือการแข่ง Sprint Race
- Q1 คือ Qualifying รอบแรก
- Q2 คือ Qualifying รอบที่ 2
- Q3 คือ Qualifying รอบสุดท้าย
- SQ1 คือ Sprint Qualifying รอบแรก
- SQ2 คือ Sprint Qualifying รอบที่ 2
- SQ3 คือ Sprint Qualifying รอบสุดท้าย
- FP1 หรือ P1 คือ Free Practice 1
- FP2 หรือ P2 คือ Free Practice 2
- FP3 หรือ P3 คือ Free Practice 3
- LAP คือรอบที่อันดับ 1 กำลังขับอยู่จากจำนวนรอบทั้งหมดที่แข่งในสนามนั้น จากภาพคือรอบที่ 34 จาก 56 รอบ
- Interval คือการแสดงเวลาแบบบวกเพิ่มไปเรื่อย ๆ ตามอันดับ จากภาพตัวอย่างที่ 1 เวลาของ LEC (Charles Leclerc) ช้ากว่า NOR (Lando Norris) อยู่ 6.053 + 25.164 วินาที
- Leader คือการแสดงเวลาตามผลต่างระหว่างนักขับแต่ละคนกับผู้นำ จากภาพตัวอย่างที่ 2 เวลาของ NOR (Lando Norris) เร็วกว่า VER (Max Verstappen) อยู่ 16.262 วินาที
- OUT คือผู้เข้าแข่งขันคนดังกล่าวออกจากการแข่งขัน
- ตัวอักษรย่อด้านหลังเวลา คือประเภทของยางของแต่ละคัน Hard (H), Medium (M), Soft (S), Intermediate (I), และ Wet (W)
- นาฬิกาสีม่วง (Fastest Lap) แสดงถึงการที่นักขับคนดังกล่าวทำเวลาต่อรอบได้ดีที่สุด
ตัวอย่าง Leaderboard ที่แสดงเวลาแบบ Interval
ตัวอย่าง Leaderboard ที่แสดงเวลาแบบ Leader
ธงสัญญาณ
🟨 Yellow flag: ธงเหลืองเดี่ยวบอกให้คนขับชะลอความเร็วและห้ามแซงใน Section นี้ของสนาม ในขณะที่ 2 ธงเหลือง (Double yellow flag) จะมีความหมายเหมือนกัน แต่จะเตือนนักขับให้เตรียมพร้อมที่จะหยุดหากจำเป็น
🟥 Red flag: ธงสัญญาณหยุดการแข่งขัน (หรือหยุด session) ใช้เมื่อสนามอยู่ในสภาพไม่ปลอดภัยที่จะดำเนินการแข่งขัน (รวมถึง sessions อื่น) เมื่อมีการโบกธงแดงรถทุกคันต้องลดความเร็วและกลับไปยัง Pit
🟩 Green flag: สัญญาณสำหรับการกลับมาแข่งขัน (resume) หลังจาก Yellow Flag รูปแบบต่าง ๆ หรือ Safety Car จบลงแล้ว และสนามกลับมาอยู่ในสภาพพร้อมแข่งขันแล้ว
🟦 Blue flag: เป็นธงสำหรับเตือนนักแข่งที่กำลังถูกน็อครอบว่ารถแข่งที่เร็วกว่า (1 รอบสนาม) กำลังมา เพื่อที่ให้รถแข่งขันดังกล่าวผ่านไป
⬜ White flag: เป็นสัญญาณบอกว่ากำลังมียานพาหนะที่เคลื่อนที่ช้าอยู่บนสนามแข่ง เช่น รถดับเพลิง รถพยาบาล และรถกู้ภัย
🟨🟥 Yellow and red striped flag: เป็นธงที่มีแถบสีเหลืองและแดงสลับกัน ใช้เพื่อเตือนว่าบนสนามไม่อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย บนสนามอาจมีสิ่งกีดขวางอยู่ เช่น ซากรถที่เกิดอุบัติเหตุ น้ำมัน เศษกรวด และน้ำขัง
⬛🟧 Black and orange circle: เป็นธงสัญญาณบอกว่ารถของนักแข่งหมายเลขดังกล่าวได้รับความเสียหาย ให้กลับสู่ Pit ทันที
⬛⬜ Half black half white: เป็นธงที่ใช้เตือนนักแข่งเกี่ยวกับการขับขี่ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัยของนักขับคนอื่น หรือมารยาทในการขับ (เทียบได้กับใบเหลืองของฟุตบอล)
⬛ Black flag: จะแสดงที่จุด start พร้อมหมายเลขนักแข่ง เพื่อระบุว่านักแข่งรายนี้ถูกตัดสิทธิ์ นักแข่งจะต้องกลับเข้า Pit ในรอบต่อไปและยุติการแข่ง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากความผิดของนักแข่งบางอย่าง (เทียบได้กับใบแดงของฟุตบอล)
🏁 Chequered flag: ธงสำหรับบ่งบอกว่าจบ session ไม่ว่าจะเป็นการจบการซ้อม จบการ Qualifying หรือจบการแข่งขันหลังจากผู้ชนะเข้าเส้นชัย ตามปกติ Formula 1 จะเชิญผู้ที่มีชื่อเสียงมาเป็นผู้โบก Chequered flag เมื่อผู้ชนะเข้าเส้นชัยในวันแข่งขันจริง
Sync ตารางการแข่งขันให้แจ้งเตือน
แม้ว่าการแข่งขัน Formula 1 ในแต่ละสุดสัปดาห์จะถูกประกาศออกมาล่วงหน้าในตารางการแข่งขัน Formula 1 ของแต่ละปี แต่การแข่งขัน Formula 1 Grand Prix ไม่ได้มีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ และมีเวลาที่แตกต่างกันตามเวลาในแต่ละประเทศรอบโลก จึงง่ายกว่าที่จะ sync ตารางการแข่งขันไปยังปฏิทินเพื่อการแจ้งเตือนการแข่งขันในแต่ละสุดสัปดาห์ โดยจะมีการแจ้งเตือน 30 นาทีและ 5 นาทีก่อนแต่ละ Session จะเริ่มขึ้นในแต่ละ Race Weekend
โดยวิธีการ Sync ตารางการแข่งขัน Formula 1 สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการไปที่หน้า https://www.formula1.com/en/racing/2025 ผ่านทางอุปกรณ์ของคุณที่จะทำการ Sync ตารางการแข่งขัน ทางมือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์
จากนั้นกดปุ่ม Sync Calendar > ให้ Permission
เมื่อทำการ Sync เรียบร้อย ตารางการแข่งขัน Formula 1 ตลอดทั้งปีก็จะเข้าไปอยู่ในปฏิทินของคุณ (ไม่ต้อง Sync ใหม่ในปีต่อ ๆ ไป)
ติดตามข่าวสาร Formula 1 ที่ไหน
นอกจาก YouTube ช่องหลักของ Formula 1 ที่จะลงข้อมูลที่เป็นทางการและ Race Highlights ในแต่ละสัปดาห์ที่มีการแข่งขันแล้ว คุณยังสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่ได้ทาง X (Twitter) ซึ่งถ้าหากคุณติดตามบัญชี Official เกี่ยวกับ Formula 1 เอาไว้บ้างและมีการปฏิสัมพันธ์กับโพสต์เหล่านั้น Algorithm ของ X มักจะแนะนำข่าวสารที่สำคัญขึ้นมาให้คุณค่อนข้างที่จะครบถ้วน
ดู F1 ถ่ายทอดสดแบบถูกลิขสิทธิ์
ในประเทศไทย การดูถ่ายทอดสดการแข่งขัน Formula 1 แบบถูกลิขสิทธิ์ สามารถดูได้ผ่าน beIN Sports และ True Visions
- ดู F1 ออนไลน์ สามารถดูได้ทาง beIN Sports
- ดู F1 ถ่ายทอดสดผ่านทาง TV สามารถดูได้ทาง True Visions (ต้องสมัครแพ็กเกจสำหรับ Formula 1)
ทั้งหมดเป็นเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาเท่าที่นึกออก แม้ว่าจะพอมีการตรวจสอบข้อมูลบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด หากต้องการให้แก้ไขข้อมูลบางส่วน สามารถติดต่อได้ทาง X หรืออีเมลด้านล่าง